นพพร โสวรรณะ (หนุ่ย) | noppon.nps@gmail.com
เมื่อออนไลน์คือทางรอดในปัจจุบัน และคนรุ่นใหม่ต้องการชีวิตที่อิสระมากขึ้น เราจึงได้ยินคำใหม่ที่สะท้อนความคิดของคนโลกดิจิตอลคือคำว่า ผู้เร่ร่อน (Digital Nomad) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่หาเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจออนไลน์ ซึ่งสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ขอเพียงมีอินเตอร์เน็ตแรงๆ ก็พอ จึงมีการสำรวจที่น่าสนใจโดยเว็บไซต์ Holidu.co.uk ของประเทศอังกฤษซึ่งจัดอันดับ 150 เมือง สำหรับการทำงานและพักผ่อน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการทำงานและพักผ่อนในเวลาเดียวกัน ผลปรากฏว่า กรุงเทพมหานคร ได้ครองอันดับ 1 เมืองสำหรับการทำงานและพักผ่อนที่สุดในโลก (อ่านเพิ่มเติม) ดังนั้นในปัจจุบันวันทำงานกับวันหยุดพักผ่อนจึงแยกไม่ค่อยออก การนั่งทำงานกับการให้เวลากับครอบครัว หรือใช้เวลาเพื่อชีวิตส่วนตัวจำเป็นต้องผสมผสานกันอย่างลงตัว จึงทำให้ชีวิตมีความสุขได้
หากเรายังติดกับคำว่า Work-Life Balance หรือการสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานกับการดำเนินชีวิต เรามักจะคิดว่าแต่ละวันต้องแบ่งเวลาให้สมดุล ทำงานตามเวลาที่เขาจ้างเรา หมดเวลาทำงานแล้วก็เป็นเวลาของครอบครัว ดังนั้นเมื่อมีข้อความ อีเมล์ หรือการติดต่อจากที่ทำงาน เราก็จะรู้สึกว่าโดนขี้โกงเวลา โดนเอาเปรียบ ฯลฯ ใจอาจต่อต้าน รู้สึกไม่ชอบ ฯลฯ งานที่ทำผ่านความคิดลบก็ออกมาไม่ค่อยดี ไม่ทำเต็มความสามารถ เพราะความคิดอยู่ในกรอบที่ว่า วันนี้ ไม่ใช้วันทำงาน ยังไม่ทำ ซึ่งงานบางอย่างอาจจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที เราก็จะยังไม่ทำ งานก็เดินต่อไม่ได้ และในปัจจุบันที่มุ่งเน้นเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) จึงเรียกร้องการทำงานเหมือนไม่มีวันหยุด เราก็เลยไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงาน
Work-Life Integration ชีวิตมีสีสันผสานกับงานอย่างลงตัว นั้นเปรียบเหมือนการผสมผสานสีสันหลาก
สีเข้าไว้ในแต่ละวัน ชีวิตมีสีสัน ทำงานสนุกมีความสุขกับครอบครัวหรือท่องเที่ยวในระหว่างทำงาน ทำไปเที่ยวไป แบ่งเวลาทำงานสลับเที่ยว จัดสรรเวลา และลำดับความสำคัญ ชีวิตทุกวันก็มีความสุข โดยเฉพาะบางบริษัทที่เปิดโอกาสให้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work From Anywhere) ก็จะเห็นความสำคัญของ Work-Life Integration ได้เป็นอย่างดี และรู้สึกว่าชีวิตจัดสรรได้ สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้เกือบทุกวัน คนรุ่นใหม่ที่อยากมีชีวิตอิสระจึงต้องเข้าใจว่า เราจะมีอิสระได้นั้นต้องบังคับตัวเองให้ได้ว่าตอนไหนต้องทำอะไร จะเห็นว่านักธุรกิจออนไลน์รุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จทำงานทุกวันผสมผสานการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ดี เปรียบบ้านเรือนที่หลากสีสันนี้กับ Work-Life Integration ที่ผสมผสานกันอย่างสวยงาม
วิธีทำให้ชีวิตมีสีสันผสานกับงานอย่างลงตัว (Work-Life Integration) ผมขอแชร์จากประสบการณ์ดังนี้
1. ปรับความคิดให้ยืดหยุ่น (Flexibility) ปรับความคิดว่าการทำงานในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงจึงต้องเน้นความรวดเร็วเพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องรอ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำงานในช่วงนอกเวลางานหรือวันหยุดในบางครั้ง เราจึงต้องปรับตัวเราให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
2. จัดตารางเวลาและลำดับความสำคัญของงานและชีวิตส่วนตัว (Scheduling and Priority) ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์มีเรื่องสำคัญๆ ที่แบ่งแยกออกมาเป็นแผนงานประสานกับชีวิตส่วนตัว ก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน (Routine) ใหม่ที่ส่งเสริมการทำงานแบบ Work-Life Integration ได้ นั่นหมายถึงว่าเราจัดสรรเวลาให้ครบทั้ง 4 ด้านในตารางของเรา คือ งาน (work) ครอบครัว (home/family) ชุมชน (community) ความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีของเรา (personal well-being and health) ด้วยความสะดวกที่มีดิจิตอลและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน งานบางงานใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ เราสามารถสลับกลับไปมาระหว่างงานกับเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในตารางของเราได้ เหมือนกับการโยนลูกบอล 3-4 ลูกที่เราสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นเรื่องง่าย ชีวิตลงตัวได้และมีอิสระ
3. ตั้งใจทำงาน (Focus) เมื่อจัดตารางเวลาไว้แล้ว จะต้องมุ่งมั่นตั้งใจมีวินัยทำให้เสร็จตามเวลา ข้อสำคัญคือควรจะเตรียมสิ่งที่ต้องใช้ในการทำงานไว้ล่วงหน้าด้วย หากลงมือทำแล้วติดปัญหา คิดไม่ออก ต้องหาวิธี หาทางออกหรือหาคนช่วย ไม่ทิ้งไว้ ไม่หาข้ออ้างให้ตัวเองแล้วไปทำอย่างอื่นที่ทำให้สบายใจ แต่งานไม่เสร็จ เกิดความรู้สึก “ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เสร็จ” งานเริ่มสะสมก็จะเกิดความกังวลหรือเครียดได้
4. สร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง (Self-Motivation) เมื่อเรามีความยืดหยุ่นในวิธีคิดแล้ว แรงจูงใจก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราลงมือทำงานให้สำเร็จได้ โดยเฉพาะกรณีที่ Work From Home หรือ Work From Anywhere ไม่มีใครมาเฝ้าดูการทำงานหรือบังคับเรา เราจะต้องขับเคลื่อนความสำเร็จด้วยตัวเอง วิธีง่ายๆ ที่จะสร้างแรงจูงใจทำงานให้เสร็จในเวลาที่กำหนด เช่น เดิมพันกับตัวเอง บอกกับตัวเองว่า ต้องเช็คและตอบอีเมล์ให้เสร็จก่อนถึงจะไปกินกาแฟ ดังนั้นเรามีกาแฟเป็นรางวัล หากงานชิ้นนั้นใช้เวลามาก ก็สามารถกำหนดว่า เมื่อเสร็จถึงส่วนไหนแล้วจึงไปกินกาแฟ เพื่อมีเป้าหมายให้พิชิต โดยไม่ปล่อยให้ไปตามความรู้สึก (อยากกินกาแฟ) ของร่างกาย อีกตัวอย่างของแรงจูงใจคือการนำเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเรามาสร้างแรงจูงใจเพื่อเราจะพิชิตเป้าหมายในทุกวัน
5. สื่อสารให้คนในครอบครัวเข้าใจ (Communication) เรื่องการทำงานที่เข้ามาแทรกอยู่ในชีวิตส่วนตัวนี้คนในครอบครัวจะต้องเข้าใจว่าบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในงานของเราคืออะไร สำคัญต่อความมั่นคง ความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างไร และเราจะแบ่งเวลาให้ครอบครัวอย่างลงตัวได้อย่างไร
หากเราสามารถให้การทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ลงตัวและ Work From HEART ผมเชื่อว่าทุกท่านสามารถเตรียมพร้อมที่จะเป็น Digital Nomad ทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ชีวิตมีอิสระ มีสิสันผสมผสานกับการทำงานที่ลงตัวอย่างแท้จริง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Opmerkingen