นพพร โสวรรณะ (หนุ่ย) | noppon.nps@gmail.com
ในช่วงโควิดระบาดรอบที่ 3 ความรู้สึกหรือความท้าทายที่คนทำงานประจำมีเหมือนๆ กันก็คือ ช่วง WFH มีผลการปฏิบัติงานที่ต่ำลง ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ทำแต่สิ่งที่อยากทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ยังไม่อยากทำ เลยทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย เริ่มมีความรู้สึกไม่เติมเต็ม เพราะขาดความสำเร็จ ไม่ได้ตามเป้า ได้แต่ “จับมันตั้งแล้วนั่งดูมันล้ม” และคนส่วนใหญ่ก็ตระหนักว่า ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไปเป้าหมายจะต้องบรรลุ
ในเรื่องของการตั้งเป้าหมาย มีคนเพียง 8% ที่สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ที่เหลือ 92% ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่โควิดระบาดและไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ งานตัวเองก็ต้องทำ งานบ้านก็ต้องทำ ลูกๆ ก็ต้องดูแล ทำให้ระดับความเครียดในใจมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และเฝ้ารอวันว่าเมื่อไหร่จะจบ แต่เมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป ด้วยความคิด “ยอมรับ ปรับใจ ไปต่อ” จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แน่นอน คำถามคือจะทำอย่างไรให้มีพลังใจเกิดขึ้นได้ทุกๆ วัน ผู้เขียนขอนำเสนอหลักคิด ที่จะ BOOST พลังตัวเองด้วยหลัก 5 ข้อต่อไปนี้
Belief (ความเชื่อ) คือ เมื่อตั้งเป้าหมายหรือได้เป้าจากหัวหน้ามาแล้วจะต้องไม่ลังเล ต้องเชื่อว่ามันเป็นไปได้ สำเร็จได้ แม้ว่าความมั่นใจจะลดต่ำลงในสถานการณ์ช่วงโควิดก็ตาม ไมเคิล โบลดัก (Michael Bolduc) ได้อ้างถึงคำพูดของ ไบรอัน เทรซี่ (Brian Tracy) ไว้ในคลิปของเขาว่าเราไม่จำเป็นต้องมีความมั่นใจ 100% มีแค่เพียง 50% ก็เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือความมุ่งมั่น (commitment) ที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้ การมีความเชื่อทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นพลังบวกในใจ มีความหวัง ความเชื่อที่มั่นคง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะลงมือทำต่อไป แค่เชื่อว่าทำได้…เราก็จะทำได้ ความเชื่อช่วยปลดล็อคศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราให้ออกมาอย่างเต็มที่ เรงจึงไม่ควรดึงความเชื่อด้านลบเข้ามา เช่น ช่วงนี้ดวงตก ปีชง ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้จะดึงจิตเราลง พลังข้างในก็ลดลงตาม สิ่งที่ตามมาคือ ลดเป้า หรือล้มเลิก และสิ่งที่ตามมาจากความคิดลบคือ โทษคนอื่น หาข้ออ้าง ฯลฯ เป็นต้น ท่านผู้อ่านสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อที่นำไปสู่ความสำเร็จได้จากเวบไซต์ รวมถึงคำคมต่างๆ ที่จะช่วยเตือนใจ รักษาระดับความเชื่อของเราไว้ และช่วยเปลี่ยนความคิด คำพูดและการกระทำไปสู่ด้านบวกที่ส่งพลังออกมาจากข้างในนำไปสู่ความสำเร็จที่งดงาม
Opportunity (โอกาส) หมายถึง มองหาโอกาสในวิกฤติ มองหาวิธีที่จะทำให้สำเร็จ มากกว่ามองเห็นแต่ปัญหา ซึ่งเมื่อมองหาโอกาสก็จะเห็นทางเลือก (options) ให้เราสามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดได้ เช่น การตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้งานเสร็จ? มีวิธีไหนที่จะช่วยทำให้งานนี้เสร็จเร็วขึ้นบ้าง? มีใครช่วยเราได้บ้าง? เป็นต้น หลังจากนั้นเราก็เริ่มหาคำตอบที่จะช่วยให้เราเริ่มเห็นทางออก เริ่มมีกำลังใจในการลงมือทำให้สำเร็จได้
Outcome (ผลลัพธ์) ผลลัพธ์ที่เราคิดถึงตลอดเวลาจะเป็นตัวกระตุ้นให้เราลงมือทำอย่างต่อเนื่อง หาวิธีทำให้ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์นั้น โดยหลักแล้วเมื่อเพิ่มแรงจูงใจผลลัพธ์ก็จะดีขึ้น ดังนั้น ผลลัพธ์ที่เราต้องการก็สามารถเป็นแรงจูงใจให้เรามีพลังจากข้างในลุกขึ้นมาทำให้เสร็จได้เช่นกัน ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยังช่วยให้เรามีพลังที่จะเปลี่ยนวิธีการเมื่อเจอกับอุปสรรคเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดิมที่ต้องการ
Stimulus (สิ่งจูงใจ) หาสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้ลงมือทำ แม้ว่า การคิดถึงผลลัพธ์จะช่วยกระตุ้นให้เราลุกขึ้นมาทำงานให้เสร็จ แต่อาจจะยังไม่พอที่จะฉุดใจให้มีพลัง เพราะว่า “กาย” เป็นนาย “ใจ” เราสามารถหาสิ่งที่สร้างแรงกระตุ้น เช่น เราจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ เพื่อจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่เรารัก ตัวอย่างที่ทุกคนมีโมเม้นท์นี้ก็คือ สัปดาห์หน้าเราจะพักร้อน เรามักจะมีพลังเคลียร์งานที่ต้องทำจนเสร็จ ไม่มีงานค้าง ทำไมเราทำได้? พลังมาจากไหน? แล้วทำไมเรามักทำงานไม่ค่อยเสร็จก่อนหยุดเสาร์-อาทิตย์ พอคิดย้อนไป เริ่มเห็นภาพว่า จริงๆ แล้ว เรามีความสุขรออยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำงานให้เสร็จ เพื่อเราจะได้มีเวลาเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ผู้อ่านสามารถหาวิธีของแต่ละคนที่จะใช้กระตุ้นให้เรามีพลังจากข้างในเพื่อ “ทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ”
Transformation (การเปลี่ยนแปลง) เมื่อเราตั้งเป้าหมายไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรและเป็นสิ่งที่เราบอกกับตัวเองว่าเราจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม นิสัยเดิม กลายเป็นคนใหม่ ที่มีทักษะใหม่ๆ ฯลฯ ความคิดที่จดจ่อกับสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เราไม่หยุดที่จะลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราไม่ท้อแท้ แม้ว่าจะต้องทำซ้ำๆ จนรู้สึกเบื่อบ้าง แม้ว่าจะมีอุปสรรคต่างๆ เข้ามาก็ตาม เราสามารถชนะคนที่เป็นตัวเราในเมื่อวานได้อย่างราบคาบ ดังนั้น หากเรามีครบทั้ง 4 ข้อข้างต้นแล้ว ข้อนี้ก็สามารถกระตุ้นพลังจากข้างในได้ สามารถช่วยเตือนเราอยู่เสมอว่า เรากำลังทำสิ่งนี้อย่างมุ่งมั่นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเราอย่างคนที่มีวินัย และจะไม่มีวันล้มเลิกเด็ดขาด
หากเราสามารถ B.O.O.S.T. ตัวเองให้มีความสำเร็จในทุกวัน เติบโตทางความคิด ก้าวหน้าในทักษะ ฯลฯ เราจะมีความสุขในตอนค่ำ เห็นคุณค่าของตัวเอง เอาความสำเร็จมาหนุนนอนอย่างมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุด คือ หากเรารู้ตัวเราเองว่า ‘โรคเลื่อน’ เกิดขึ้นเพราะอะไร มีเหตุผลเพียงพอ เช่น มีสิ่งที่สำคัญมากกว่าเข้ามาแทรก ก็ยอมรับและปรับลำดับความสำคัญ ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ มองหาว่าใครช่วยเราได้บ้าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ เมื่อทำเต็มที่แล้ว ให้เรา “อยู่กับปัจจุบัน ฝันถึงอนาคต ไม่โทษวันวาน” ขอให้ทุกท่านอยู่ในกลุ่ม 8% ที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในทุก ๆ วัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Reference: Science Says Only 8 Percent of People Actually Achieve Their Goals .
ไมเคิล โบลดัก Michael Bolduc วิธีเพิ่มรายได้ 10 เท่า จาก ไบรอัน เทรซี่
Comentários