top of page

Diversity and Inclusion สำหรับพนักงานวัยสีเงิน (Silver Talent) อดีตที่จำเป็นสำหรับอนาคตของทุกองค์กร

เมื่อผ่านการเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่ง Pride Month กันไปแล้ว เป็นหนึ่งในช่วงที่ให้หลายองค์กรได้หันมาคิดเรื่อง Diversity & Inclusion (D&I) กันมากขึ้น บางแห่งคิดได้ก็ต่อเมื่อกำลังต้องการสตอรี่ดี ๆ จากพนักงานและ HR เพื่อไปประชาสัมพันธ์องค์กรในเชิงบวก เลยได้โอกาสแวะเวียนมาประชุมกันเรื่องนโยบายการสร้างการมีส่วนร่วมสำหรับคนทุกเพศทุกวัยในองค์กร

เมื่อพูดถึง D&I ในองค์กรประเทศไทย เรามักพูดกันเรื่องเพศ เรื่องเชื้อชาติ และเรื่องอายุ (น้อย) กลยุทธ์ส่วนใหญ่ของ HR ที่โดนแรงกดดันจากสังคมก็มักโฟกัสไปที่การทำอย่างไรให้คนอายุน้อยที่มีความสามารถสูงมีพื้นที่และมีบทบาทมากขึ้นในองค์กรโดยไม่ถูกแรงกดทับจากกลุ่มพนักงานที่อยู่มาเก่า ให้กลายเป็นความหวังใหม่ ๆ ของทางรอดธุรกิจต่อไป


The Silver Age กลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 55-70 ปี กำลังเป็นที่จับตามองของเหล่านักการตลาดและกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจ เพราะเป็นกลุ่มที่จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วจากภาวะ Aging Population โดยในปี 2021 มีจำนวนถึง 20% ของสัดส่วนประชากรในประเทศไทย มีเงินเก็บสูง เข้าถึงเทคโนโลยี สุขภาพยังพอไหว (บางคนยังแข็งแรงมาก) และมีเวลาว่างมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ จนทำให้เกิด The New Blue Ocean หรือโอกาสทางธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีคู่แข่งขึ้นมา ในประเทศญี่ปุ่น Silver Employee คิดเป็น 12.3% ในตลาดแรงงานตั้งแต่ปี 2017 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทยก็เช่นกัน


ปรับ Mindset ป้องกัน Unconcious Bias

ในมุมของการจ้างงาน เรามักคุ้นเคยกับกับดักทางความคิด การตัดสินคนจากอายุ ไม่ว่าจะจากวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน จนกลายเป็นสิ่งที่ทำลายวัฒนธรรมองค์กรและฉุดรั้งการเป็นองค์กรแห่งอนาคต


มาดูกันว่า มีมุมมองอะไรบ้างต่อพนักงานสูงอายุที่องค์กรควรรับมือและให้ความรู้พนักงานทุกกลุ่ม เพื่อสร้างสถานที่ทำงานสำหรับพนักงานทุกคน (Truly Diversive Workplace) ที่เปิดกว้างและใช้จุดแข็งร่วมกันอย่างแท้จริงให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สูงขึ้น ความเชื่อและ bias ที่เรามักพบเจอในองค์กรในช่วงการสรรหาคัดเลือก และการจะพิจารณาเลื่อนตำแหน่งพนักงาน


“พนักงานสูงอายุ อาจทำงานได้ไม่ดีพอเพราะมีปัญหาด้านสุขภาพ….”แต่จากการศึกษาพบว่า พนักงานสูงอายุใช้วันลาป่วยน้อยกว่าพนักงานรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการลาและความพึงพอใจในงาน และด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์และเทรนด์การดูแลสุขภาพทำให้ผู้สูงอายุในปัจจุบันหลายรายแข็งแรงกว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้า และมีอาการออฟฟิศซินโดรมตั้งแต่ยังอายุน้อย หากองค์กรเล็งเห็นว่า สิ่งเหล่านี้อาจเป็นปัญหาในอนาคต ก็ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานและ workplace ให้ ergonomic รวมถึงมีโปรแกรมดูแลสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อหนีห่างจาก dilemma นี้ในอนาคตที่ดูจะมาถึงเร็วกว่าเดิม


“พนักงานสูงอายุ Productive สู้พนักงานรุ่นใหม่ไม่ได้….” พนักงานวัย Silver มีความจงรักภักดีกับองค์กร มีความต่อเนื่องของงาน และหลายครั้งมีการตัดสินใจที่ดีกว่า ที่เกิดจากประสบการณ์ที่สะสมมา รวมถึงคนส่วนใหญ่ยังทำงานอยู่โดยมีเป้าหมายมากกว่าแค่เงินเดือนหรือการเติบโตก้าวหน้าในงาน ในขณะที่คนรุ่นใหม่อยากเลิกทำงานตั้งแต่อายุน้อย คนสูงวัยกลับอยากทำงานต่อไปอีกนาน ๆ เพื่อให้ตนยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีคุณค่าอยู่ ดังนั้นหลายคนยังคงมี passion และแสวงหาความ productive ในตัวเองอยู่ แม้ในเรื่องของเทคโนโลยีก็ตาม


“พนักงานสูงอายุชอบต่อต้านการเปลี่ยนแปลง…” ความจริงการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น พนักงานอายุน้อยก็เป็น แต่มักถูกแสดงออกมาด้วยอาการ “ดื้อรั้น” หรือ “ดื้อเงียบ” ที่น่าเอ็นดูจากมุมมองของคนที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ข้อที่ต้องยอมรับคือ ผู้สูงอายุมีอัตราการอยากเรียนรู้ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเด็ก ผู้สูงอายุหลายคนกระตือตือร้นเรียนรู้ที่จะใช้อินเทอร์เน็ต และ smart phone แต่มักเรียนรู้ได้ถึงจุด ๆ หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นองค์กรควรหาเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลายในการสร้างความรู้และทักษะใหม่ ๆ ให้กับ Silver Talent หรือ Active Ager ขององค์กรเหมือนกับ Young Talent แต่ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันเพราะวิธีเรียนรู้ไม่เหมือนกัน


วางโปรแกรมการเรียนรู้สำหรับคนแต่ละวัย

การบริหาร Silver Employee ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้สามารถส่งต่อความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่สำคัญ (Critical Experience) ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นอนาคตขององค์กรได้แบบครบถ้วนที่สุด เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่ยังคงรักษา Competitive Advantage แบบเดิม และเติมนวัตกรรมจากการรู้จักลูกค้าและองค์กรดีที่สุดเท่ากับคนที่ทำงานมากว่าครึ่งชีวิต การจะสร้างการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนหลายวัยได้นั้น องค์กรต้องเพิ่ม growth mindset ในทุกเจเนอเรชั่น สำหรับคนที่มีประสบการณ์ ก็ให้เรียนรู้จากความผิดพลาด (Mistakes) ในอดีต และคอยหมั่นเติมความรู้และทักษะระหว่างสายงานเข้าไปมากขึ้น (Inter-Department) และอาจมีการจัดตั้งกลุ่มการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในวัยเดียวกัน หรือต่างวัย (Community of Practice) โดยกำหนดชุดทักษะที่เป็นที่ต้องการ หรือทักษะที่คนสูงวัยต้องมา refresh ให้ทันกับปัจจุบันและอนาคต

ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคDigitalization ธุรกิจมีเทคโนโลยีและคนรุ่นใหม่ที่มีหัวก้าวหน้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อน แต่สิ่งที่ขาดที่สุดคือ ข้อมูลและประสบการณ์ ซึ่งติดอยู่กับประสบการณ์กว่า 30 ปีของคนวัย Silver ที่เป็น Silver Talent ขององค์กร ยิ่งองค์กรและผู้บริหารละเลยคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะคิดว่าเก่งแล้ว หรือเป็นผู้บริหารอยู่แล้วทำมาตั้ง 30 กว่าปี ธุรกิจก็ยิ่งสูญเสียสิ่งที่สะสมมาตลอดปีที่ผ่าน ๆ มาจนต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ตลอดเวลา คนรุ่นใหม่เข้ามาก็เหนื่อยกับการที่องค์กรไม่มีระบบ ไม่มีคนสอนงาน หรือไม่มีข้อมูล


องค์กรใหม่ ๆ หลายแห่งอาจปฏิเสธว่า เรามีแต่คนรุ่นใหม่และไม่มีพนักงานอายุเกิน 35-40 ปี ซึ่งพบเห็นได้มากขึ้นในปัจจุบัน และเป็นเรื่องจริง แต่เชื่อได้ว่าทุกองค์กรจำเป็นต้องมีคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องที่สำคัญ ๆ ที่เป็นหัวใจขององค์กรนั่งเป็นที่ปรึกษา หรือแม้แต่เป็น Board of Advisor ที่ให้มุมมองและประสบการณ์ หรือแม้แต่ Connection ที่สะสมมาหลายสิบปีจากคนกลุ่ม Silver Age นี้ ดังนั้นวิธี engage กับคนกลุ่มนี้ในแต่ละบทบาทก็อาจแตกต่างกันไปในเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ พนักงานพาร์ทไทม์ พนักงานชั่วคราว หรือที่ปรึกษา ซึ่งล้วนกำลังทำงานอยู่บนเป้าหมายเดียวกันในการทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ


จะดีกว่ามากหากเราสามารถสร้างองค์กรสำหรับทุกคน ทีมที่เปิดกว้างยอมรับและมีแนวปฏิบัติสำหรับความแตกต่างในเชิงบวก เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายเดียวกันด้วยเทคนิคและรูปแบบที่แต่ละคนได้เป็นตัวเองและได้ใช้ท่าที่ถนัดที่สุดในการทำภารกิจของแต่ละคน

 

อ้างอิง

https://www.brandbuffet.in.th/2018/09/cmmu-insight-content-marketing-for-silver-age/

ดู 220 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
bottom of page