ไปกับ กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล
นาทีนี้ใครก็พูดถึง “โลกที่เปลี่ยนไป” รึแม้แต่คำว่า “โลกกำลังปั่นป่วน” เราได้ยินคำว่า Disrupt บ่อยขึ้น จากสื่อและผู้คนหลายวงการ หลายคนอาจเคยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใกล้ตัว จนมาถึงวันที่เรามองเห็นบางอย่างถูก Disrupt และบางคนกลายเป็น Disruptor ผู้เปลี่ยนโลก น่าจะสร้างความตระหนักให้เราตั้งรับกับยุค Disruptive World กันมากขึ้น
ภาพการเปลี่ยนแปลงนี้จะชัดขึ้นหากคุณนึกภาพกลับไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน เทียบกับวันนี้ คุณก็จะรับรู้ได้ชัดขึ้น มีสิ่งใหม่หลายอย่างเกิดขึ้น และบางอย่างที่ล้มหายไป มอบไปรอบตัว สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการพัฒนาของเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก บริการที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น เราได้เห็นมันแล้วในเวลานี้ กว้างออกไปมากกว่านั้น การเปลี่ยนโฉม Business Model ของเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่ที่เกินความคาดคิด มองให้รอบตัวเรามากขึ้นเราเห็น รูปแบบการใช้ชีวิต รูปแบบการทำงาน Lifestyle ของผู้คนเปลี่ยนไป สังคมไร้เงินสด ธุรกรรมออนไลน์ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน การทำงานที่ไหนก็ได้บนโลกขอเพียงมี Internet ธุรกิจที่เรียกว่า Startup เริ่มเร็ว โตไว จับตลาดได้อย่างที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ต้องผวา มันเกิดขึ้นแล้ว !!! ที่สำคัญทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นการเปลี่ยนแปลงรุนแรง
ไม่ใช่ว่าความเปลี่ยนแปลงไม่ไม่เคยเกิดขึ้นกับโลกธุรกิจ แต่ในเวลานี้การเปลี่ยนแปลงเกิดอย่างรวดเร็ว คำถามต่อมาคือในกระแสคลื่น DisruptiveWorld ธุรกิจจะอยู่รอดได้อย่างไร
ในงาน Thailand HR DAY 2018 ที่ผ่านมา คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ผู้ก่อตั้ง Disrupt University และผู้ร่วมบริหารกองทุน 500 TukTuks หนึ่งในบุคคลที่เมื่อเราพูดถึง Startup หรือ Disruptive World จะไม่เอ่ยถึงชื่อนี้ไม่ได้เลย ได้มาพูดคุยถึงประเด็น “โลกที่เปลี่ยนแปลงไป” กับเรา พร้อมให้ข้อแนะนำและคมความคิดที่ควรนำเอาไปคิดต่อเพื่อการปรับตัวสู่การเป็นคนทำงานที่พร้อมโต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงและนำพาองค์กรให้อยู่รอดในยุค Disruptive World
เมื่ออัตราเปลี่ยนแปลงเร่งเครื่องเต็มสูบ ธุรกิจจะอยู่รอดได้อย่างไร
ประเด็นนี้คือ Key messages ที่คุณกระทิงสื่อสารกับเรา โลกธุรกิจปัจจุบันหลายองค์กรกำลังเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้อยู่รอดภายใต้คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่มีอัตราต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล สวนทางกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของคนและองค์กรที่เป็นแบบเส้นตรง โดยยกเอา The Six Ds of Exponential Technology ที่เสนอโดย Steven Kotler มาอธิบายสิ่งที่เรากำลังเผชิญร่วมกัน
The Six Ds of Exponential Technology
Steven Kotler ได้กล่าวถึง 6 stages ที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะเข้ามามีผลกระทบกับธุรกิจ ประกอบด้วย
Stage 1 Digitized: เทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ทั้งในกระบวนการภายใน รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการเก็บข้อมูล การดำเนินการด้านโลจิสติกส์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Manual ไปสู่การเป็น Digital
Stage 2 Deceptive: ใน Stage นี้หลายธุรกิจควรระวังเป็น อย่างมาก เนื่องจากหลายบริษัทที่ผ่านช่วงของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้ว มีความอุ่นใจว่าเทคโนโลยีนั้นเพียงพอต่อการอยู่รอดของธุรกิจ หรือการมองไม่เห็นถึงพิษภัยของสินค้าและบริการที่ถูกพัฒนาด้วยเทคโนโลยี กล่าวคือยังไม่เข้าใจถึงความเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวงจรการเปลี่ยนแปลงนี้
Stage 3 Disruptive: เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ธุรกิจ ถูกคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่เลยทีเดียว ซึ่งในขั้นนี้จะเป็นการที่ธุรกิจถูก “Disrupt” จากคู่แข่งที่มีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการพัฒนาสินค้าและบริการที่ถูกลง ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นับว่าเป็นช่วงที่เทคโนโลยีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่เติบโตแบบหักศอกขึ้นอย่างทันที
Stage 4 Dematerializing: เป็นขั้นที่สินค้าและบริการในรูปแบบเดิม ๆ ตายไปจากตลาด และถูกทดแทนด้วยสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เช่น กล้องถ่ายรูปที่อยู่ใน Smart Phone, การเก็บเอกสารถูกแทนด้วยฐานข้อมูลบน Cloud เป็นต้น
Stage 5 Demonetization: รูปแบบการ “ทำเงิน” จะเปลี่ยนแปลงไป เป็นผลจากขั้น “Dematerializing” ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน การขายสินค้าและบริการในรูปแบบเดิม ๆ จะไม่สามารถทำเงินได้อีกต่อไป
Stage 6 Democratization: การที่สินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนอย่างสมบูรณ์ จากที่เป็นสิ่ง “ไม่จำเป็น” กลายเป็นสิ่งที่ “ขาดไม่ได้” เนื่องจากสินค้าและบริการเหล่านี้ได้สร้างความสะดวกสบายและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตนั่นเอง
The Six Ds of Exponential Technology ที่กล่าวมาน่าจะทำให้นึกภาพการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น และเมื่อหันมามองธุรกิจรอบตัวเราที่กำลังถูก Disrupt ภาพย่อมชัดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ทางเลือกของการใช้บริการ TAXI ที่ถูก บริการ Grab เข้ามาช่วงชิงตลาด
ในมุมมองของลูกค้าส่วนใหญ่หากพูดถึงการให้บริการของแท็กซี่ คงจะหนีไม่พ้น เรื่องของการ “ปฏิเสธลูกค้า” “ไม่กดมิเตอร์” หรือแม้แต่ทำให้เกิดความระแวงในเรื่อง “การลวนลาม หรือ ปล้นทรัพย์” สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กลายเป็นประเด็นที่สังคมกล่าวถึงกันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแท็กซี่จะไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคันก็ตาม อย่างไรก็ตามคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแท็กซี่ส่วนหนึ่งได้สร้าง Customer Experience ให้เป็นแบบนี้ และในยุคดิจิทัลที่การกระจายของข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงกลายเป็นภาพลักษณ์ของแท็กซี่ไปโดยปริยาย ในจุดนี้เองเมื่อ Grab ได้เข้ามาเปิดให้บริการ จึงสามารถเจาะฐานลูกค้าของแท็กซี่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดย Grab ได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริการลูกค้า โดยสร้างประสบการณ์ที่ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัย ในการให้บริการลูกค้า ซึ่งแตกต่างกับประสบการณ์ของลูกค้าส่วนใหญ่ที่ได้รับจากการใช้บริการ TAXI
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในโลกดิจิทัล คือ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่รวมเอาโลกทั้งใบของการใช้ชีวิตไว้ใน “Smart Phone” เครื่องเดียว ซึ่งคงต้องยอมรับกันว่าเป็นมากกว่าเครื่องมือสื่อสาร มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ เพราะได้ย่อโลกเกือบทั้งใบมาไว้ในอุปกรณ์ขนาดเล็กนี้แล้ว ในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว ได้รวมเอาฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไว้เกือบสมบูรณ์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม การเรียนออนไลน์ การทำธุรกรรมทางการเงิน กล้องถ่ายรูป ร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
คำถามสำคัญต่อมาจากที่เรา รู้แล้วว่า “โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” แล้ว ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร? ประเด็นนี้คือสิ่งที่คุณกระทิงทิ้งท้ายไว้กับเรา
ธุรกิจจะโต้คลื่น Disruptive อย่างไรให้อยู่รอด
จาก Six Ds of Exponential Technology จะเห็นได้ว่า ถ้าธุรกิจต้องการจะอยู่รอดภายใต้คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล ซึ่ง คุณกระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ได้นำเสนอมุมมองของการดำเนินธุรกิจที่จะต้อง Transform ตัวเองให้เร็ว โดยสรุปไว้ 3 ประการ
มุ่งให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ความต้องการแท้จริงของลูกค้าคือข้อมูลที่มีผลต่อการกำหนดกลยุทธในการทำธุรกิจ เพื่อให้สามารถพยากรณ์ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
รักษาสินทรัพย์ในองค์กรให้ยังคงมีมูลค่า ระมัดระวังอย่าให้สินทรัพย์กลายเป็น “หนี้สิน หรือ ภาระ” ขององค์กร (โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์)
ตอบรับต่อการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การทำให้เกิด Innovation ไม่ใช่เพียงสิ่งที่พูดขึ้นมาให้ทันยุคสมัย แต่วันนี้ มาเป็นต้องทำให้ Innovation กลายเป็น DNA หลักในการดำเนินงานขององค์กร มิใช่เป็นเพียง KPI ที่ตั้งไว้เพื่อความสวยหรู
Comments